พลาสติก PP กับ PE ต่างกันอย่างไร และ PET ทนร้อนได้มั้ย

พลาสติก PP กับ PE ต่างกันอย่างไร? พร้อมเจาะลึกความทนความร้อนของขวด PET

ในโลกของบรรจุภัณฑ์ยุคใหม่ การทำความเข้าใจประเภทของพลาสติกถือเป็นกุญแจสำคัญในการเลือกวัสดุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ พลาสติกที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในอุตสาหกรรมขวดและบรรจุภัณฑ์คือ **PP** (Polypropylene), **PE** (Polyethylene) และ **PET** (Polyethylene Terephthalate) แม้ภายนอกจะดูคล้ายกัน แต่คุณสมบัติทางเคมี ความทนทาน และการใช้งานของพลาสติกแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก การทราบถึงความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย ทนทาน และตรงตามวัตถุประสงค์ของสินค้าอย่างแท้จริง

เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่า **พลาสติก PP กับ PE ต่างกันอย่างไร** พร้อมทั้งเจาะลึกกรณีศึกษาที่สำคัญอย่างขวด **PET** ที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิที่คุณต้องรู้


ทำความรู้จัก Polypropylene (PP) และคุณสมบัติเด่น (เบอร์ 5)

พลาสติก **PP** หรือ Polypropylene เป็นที่รู้จักในฐานะ **"ราชาแห่งพลาสติกที่ทนความร้อน"** ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความคงทนต่ออุณหภูมิสูง

คุณสมบัติหลักของ PP

  • ความทนทานต่อความร้อนสูง: PP มีจุดหลอมเหลวที่สูงมาก (ประมาณ 160-170°C) ทำให้สามารถนำไปบรรจุอาหารที่ต้องผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือสามารถนำไปใช้ในภาชนะที่เข้าไมโครเวฟได้โดยไม่เสียรูป นี่คือจุดที่ทำให้พลาสติก PP กับ PE ต่างกันในเรื่องความทนทานต่ออุณหภูมิ
  • ความแข็งแรงและความคงรูป: PP มีความแข็ง (Rigidity) และความคงรูปที่ดีกว่า PE มาก ทำให้เหมาะสำหรับการทำภาชนะบรรจุที่ต้องการรูปทรงที่แน่นอน เช่น กล่องอาหาร ฝาขวด และถ้วยโยเกิร์ต
  • ความต้านทานต่อสารเคมี: ทนทานต่อไขมัน น้ำมัน และสารเคมีต่างๆ ได้ดี
  • การใช้งาน: ภาชนะบรรจุอาหารเข้าไมโครเวฟ, หลอดกาแฟ, ฝาขวดเครื่องดื่ม, บรรจุภัณฑ์ยา, ใยสังเคราะห์สำหรับเสื้อผ้า

ทำความรู้จัก Polyethylene (PE) และการแบ่งประเภท (เบอร์ 2 และ 4)

พลาสติก **PE** หรือ Polyethylene เป็นพลาสติกที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลก โดดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่นและน้ำหนักเบา นี่คือคำตอบหลักของคำถามที่ว่า PP กับ PE ต่างกันอย่างไร ในด้านความรู้สึกเมื่อสัมผัสและใช้งาน

ประเภทและคุณสมบัติหลักของ PE

PE แบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ที่ใช้มากที่สุดคือ:

  • HDPE (High-Density Polyethylene - เบอร์ 2):
    • คุณสมบัติ: มีความหนาแน่นสูง แข็งแรงและทึบกว่า PE ชนิดอื่น แต่ยังคงมีความยืดหยุ่น ทนต่อการแตกและแรงกระแทก
    • การใช้งาน: ขวดนม, แกลลอน, ขวดน้ำยาซักผ้า, ถังขยะ
    • ความทนร้อน: ทนความร้อนได้ปานกลาง (ประมาณ 120°C ในระยะสั้น) แต่ไม่เหมาะสำหรับการบรรจุของร้อนจัดเหมือน PP
  • LDPE (Low-Density Polyethylene - เบอร์ 4):
    • คุณสมบัติ: มีความหนาแน่นต่ำที่สุด อ่อนนิ่ม ยืดหยุ่น และใส (หรือขุ่นเล็กน้อย)
    • การใช้งาน: ถุงหิ้ว, ฟิล์มห่ออาหาร, ถุงซิป, ถุงบรรจุอาหารแช่แข็ง
    • ความทนร้อน: ทนความร้อนได้ต่ำที่สุดในกลุ่ม (ประมาณ 80°C) เมื่อสัมผัสความร้อนสูงจะอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว

ไขข้อสงสัยเรื่องขวด PET กับอุณหภูมิที่แตกต่าง

นอกจากพลาสติก PE กับ PP แล้วก็ยังมี **PET** (เบอร์ 1) ที่เป็นวัสดุหลักในการผลิตขวดใสทั่วไป 

  1. ทำความรู้จักพลาสติก PET และข้อจำกัดด้านความร้อน

    PET หรือ Polyethylene Terephthalate เป็นพลาสติกที่มีความใสและป้องกันการซึมผ่านของก๊าซได้ดีเยี่ยม จึงเหมาะสำหรับขวดน้ำดื่มและน้ำอัดลม แต่ PET ทั่วไป (Amorphous PET) มีข้อจำกัดด้านความร้อนที่สำคัญ

    • จุดอ่อน: ทนความร้อนได้ต่ำมาก โดยจะเริ่มอ่อนตัวและเสียรูปทรงอย่างชัดเจนที่อุณหภูมิประมาณ 60-70°C เท่านั้น การนำไปบรรจุเครื่องดื่มร้อน หรือวางทิ้งไว้ในรถยนต์กลางแดดจัดเป็นเวลานาน อาจทำให้ขวดบิดเบี้ยวได้ง่าย
  2. PET ชนิดพิเศษ: "Hot-Fill" ทนความร้อนสูง

    เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ต้องมีการบรรจุแบบร้อน (เช่น น้ำผลไม้ หรือชาที่ต้องฆ่าเชื้อ) ผู้ผลิตได้พัฒนา ขวด PET ทนความร้อนชนิดพิเศษที่เรียกว่า Hot-Fill PET

    • กระบวนการ: ขวดเหล่านี้ถูกทำให้เกิดการตกผลึก (Crystallization) ผ่านกระบวนการทางความร้อนในขั้นตอนการผลิต ทำให้โครงสร้างพลาสติกมีความแข็งแรงและทนทานต่ออุณหภูมิสูงขึ้น
    • ความสามารถ: Hot-Fill PET สามารถทนอุณหภูมิได้สูงถึง 85-90°C โดยไม่เสียรูปทรง จึงใช้สำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงก่อนปิดผนึก
    • ข้อสังเกต: ขวด Hot-Fill PET มักจะมีลักษณะแข็งและหนากว่าขวด PET น้ำดื่มทั่วไปเล็กน้อย

ความปลอดภัยและการใช้ซ้ำ 

เมื่อเข้าใจความแตกต่างระหว่าง PP, PE และ PET แล้ว คำถามสำคัญที่ตามมาคือเรื่องความปลอดภัยในการใช้งานซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องความร้อน

  1. การบรรจุของร้อนจัด

    • **PP (เบอร์ 5)** ถือว่ามีความปลอดภัยและทนทานที่สุดสำหรับการบรรจุของร้อนจัด หรือการเข้าไมโครเวฟ
    • **PE (เบอร์ 2 และ 4)** ไม่ควรใช้บรรจุของร้อน เนื่องจากจะอ่อนตัวหรือเสียรูปทรงเมื่อเจออุณหภูมิสูงเกิน 80-100°C
    • **PET (เบอร์ 1)** ธรรมดา ไม่ควรบรรจุของร้อนอย่างยิ่ง แต่หากเป็น Hot-Fill PET สามารถใช้ได้ตามอุณหภูมิที่ผู้ผลิตระบุ (ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 90°C)
  2. ความสามารถในการใช้ซ้ำและการรีไซเคิล

    • พลาสติกทั้งสามชนิด (**PP, PE**, และ **PET**) สามารถใช้ซ้ำได้ดี โดยเฉพาะ PP และ HDPE (PE เบอร์ 2) ที่ทำความสะอาดง่ายและมีความทนทานสูงต่อการใช้งาน
    • ในด้านการรีไซเคิล PET (เบอร์ 1) ถูกจัดว่าเป็นพลาสติกที่รีไซเคิลได้ง่ายและเป็นที่ต้องการมากที่สุด ตามมาด้วย HDPE (เบอร์ 2) และ PP (เบอร์ 5) ซึ่งทั้งสามชนิดนี้ถือเป็นกลุ่มที่นำกลับไปแปรรูปได้ง่ายในอุตสาหกรรม
  3. เลือกให้ถูกประเภทเพื่อความปลอดภัย

    • สำหรับอาหารร้อน/ไมโครเวฟ: เลือก **PP** เท่านั้น
    • สำหรับของเหลวเย็น/อุณหภูมิห้อง: สามารถเลือกใช้ **PET** (ขวดใส) หรือ **HDPE** (ขวดทึบ)
    • สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องบรรจุร้อน: ต้องระบุและเลือกใช้ ขวด **PET Hot-Fill** หรือขวดที่ทำจาก **PP**

กุญแจสู่บรรจุภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบ

การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ถูกต้องคือการสร้างความมั่นใจให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณ การทราบว่า **พลาสติก PP กับ PE ต่างกันอย่างไร** ในด้านความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และที่สำคัญที่สุดคือความทนทานต่อความร้อน จะช่วยให้คุณสามารถนำเสนอสินค้าในบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

หากคุณกำลังมองหาขวดบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะด้าน ไม่ว่าจะเป็นขวด PP ที่ทนร้อน, ขวด HDPE ที่ทนทาน, หรือขวด PET Hot-Fill สำหรับผลิตภัณฑ์พาสเจอร์ไรซ์ โรงงานผลิตขวดพลาสติกและทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อช่วยคุณเลือกวัสดุที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับแบรนด์ของคุณ

Share :